สงกรานต์สำหรับคนไทยไม่ใช่แค่เทศกาลแห่งการสาดน้ำ หรือวันหยุดยาวที่รอคอยเท่านั้น แต่คือช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความสุข ความสดชื่น และความทรงจำดี ๆ อย่างไรก็ตาม สำหรับธุรกิจต่าง ๆ ช่วงเวลาหลังสงกรานต์กลับเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เรียกว่ามันคือ “จุดเปลี่ยน” สำคัญที่จะกำหนดว่าแบรนด์จะสามารถรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าเอาไว้ได้ หรือจะค่อย ๆ เสียลูกค้าไปอย่างเงียบ ๆ โดยที่ไม่รู้ตัว
หลายธุรกิจพบว่ายอดขายหลังสงกรานต์มักตกลงอย่างเห็นได้ชัด เพราะลูกค้ากลับสู่โหมดการทำงานประจำวัน ใช้จ่ายน้อยลง และหันมาโฟกัสเป้าหมายชีวิตใหม่ ๆ แทน แต่ในความจริงแล้ว ช่วงเวลานี้กลับแฝงโอกาสที่สำคัญมาก หากเราเข้าใจและวางแผนเชื่อมต่อกับลูกค้าได้อย่างถูกจังหวะ เนื่องจากการรักษาลูกค้าเดิมมีต้นทุนถูกกว่าการหาลูกค้าใหม่ถึง 5-7 เท่า และหากแบรนด์สามารถเพิ่มอัตราการรักษาลูกค้าได้เพียง 5% ก็มีแนวโน้มทำกำไรได้มากขึ้นถึง 25%-95% เลยทีเดียวโดยเฉพาะในช่วง 30-45 วันหลังเทศกาลสงกรานต์
ยิ่งไปกว่านั้น กว่า 70% ของลูกค้าเปิดใจที่จะรับข้อเสนอใหม่ ๆ ในช่วงหลังสงกรานต์ เพราะอยู่ในช่วง “รีเซ็ตอารมณ์” และมองหาโอกาสใหม่ ๆ ด้วยตัวเอง ซึ่งหมายความว่าแบรนด์ที่ลงมือก่อน จะมีโอกาสสูงกว่าคู่แข่งในการคว้าใจลูกค้าได้ ในทางกลับกัน ถ้าแบรนด์เลือกที่จะนิ่งเฉย ปล่อยให้ลูกค้าเงียบหายไปช่วงนี้ ก็มีแนวโน้มสูงที่ลูกค้าจะลืมแบรนด์ไปเลย และหันไปเลือกคู่แข่งที่สื่อสารได้ตรงใจมากกว่าแทนเพราะฉะนั้น “Reconnect & Resell” จึงไม่ใช่แค่แผนการตลาดทั่วไปแต่มันคือ “เกมกลยุทธ์” หลังเทศกาล ที่จะกำหนดความแข็งแรงของฐานลูกค้าในระยะยาว
เข้าใจพฤติกรรมลูกค้าหลังสงกรานต์แล้วแคมเปญที่ใช่ควรเป็นแบบไหน?
หลังจากช่วงเทศกาลสงกรานต์พฤติกรรม และอารมณ์ของผู้บริโภคในช่วงนี้เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ และการเข้าใจจังหวะชีวิตใหม่ของลูกค้า จะทำให้แบรนด์สามารถออกแบบแคมเปญที่ตรงใจและทรงพลังได้มากยิ่งขึ้น
พฤติกรรมที่สำคัญของลูกค้าหลังสงกรานต์มี 4 แนวโน้มหลัก ได้แก่
- Emotional Reset : เริ่มต้นชีวิตใหม่อย่างจริงจัง หลังผ่านช่วงวันหยุดยาว ผู้คนเริ่มตั้งต้นใหม่กับชีวิต เช่น วางเป้าหมายการทำงาน ออกกำลังกาย ดูแลสุขภาพ หรือวางแผนการเงิน หลายคนตั้งใจใช้ชีวิตให้มีวินัยมากขึ้น
- แคมเปญที่เหมาะสม: ควรเน้นสิ่งที่ “ทำได้ง่าย รู้สึกสำเร็จได้เร็ว” เช่น โปรโมชันเล็ก ๆ ที่ใช้ได้ทันที หรือของขวัญง่าย ๆ ที่ช่วยเติมพลังใจให้ลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์กำลังสนับสนุนการเริ่มต้นใหม่ของพวกเขา
- ปัญหาด้านการเงิน : ใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง หลังจากช่วงการใช้เงินอย่างหนักหน่วงในเทศกาล หลายคนกลับมา “คุมเงินในกระเป๋าสตางค์” อย่างจริงจัง เลือกซื้อเฉพาะสิ่งที่จำเป็น และมองหาความคุ้มค่าเป็นหลัก
- แคมเปญที่เหมาะสม: ควรนำเสนอโปรโมชันประเภท “บันเดิลดีล” หรือ “Value Set” ที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าจ่ายแล้วได้อะไรที่คุ้มค่ามากกว่าราคาที่เสียไป เช่น ซื้อ 1 ได้ถึง 2, ส่วนลดเฉพาะเซตใหญ่ หรือแต้มสะสมสองเท่า
- งดใช้ Social Media ชั่วคราว แต่พร้อมกลับมาเปิดรับสิ่งใหม่ ช่วงหยุดยาว ลูกค้าบางกลุ่มเลือกพักการเล่นโซเชียลเพื่อใช้เวลากับครอบครัวหรือเดินทาง แต่ทันทีที่กลับสู่ชีวิตปกติ พวกเขาจะเริ่มกลับมาออนไลน์ และเริ่มมองหาคอนเทนต์ที่ “สดใหม่” และ “มีความหมาย” มากกว่าปกติ
- แคมเปญที่เหมาะสม: ควรเน้นการสร้าง Engagement ผ่านกิจกรรมเบา ๆ ที่ช่วยเติมเต็มอารมณ์ เช่น แคมเปญแชร์ภาพช่วงสงกรานต์, โหวตเมนูโปรด หรือรีวิวร้านค้าแลกรางวัล เพื่อให้ลูกค้าเริ่มต้นปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์อีกครั้งในบรรยากาศที่ไม่กดดัน
- อาการซึมหลังวันหยุด (Post-Vacation Blues) หลังจากช่วงเวลาสนุก ๆ หลายคนมักตกอยู่ในอารมณ์เหงา เศร้าเล็กน้อย รู้สึกไม่ค่อยมีพลังในช่วงแรกของการกลับมาทำงาน ถ้าแบรนด์สามารถเข้าใจจังหวะนี้ และยื่นข้อเสนอที่อบอุ่นใจได้พอดี ก็สามารถชิงใจลูกค้าได้แบบไม่รู้ตัว
- แคมเปญที่เหมาะสม: ควรเสนอสิทธิพิเศษเกี่ยวกับ “การเริ่มต้นใหม่” เช่น เวิร์กช็อปเล็ก ๆ เกี่ยวกับกิจกรรมเพื่อสุขภาพ หรือของขวัญต้อนรับการกลับมาทำงาน เช่น คูปองเครื่องดื่มฟรี หรือเซตของว่างสำหรับเติมพลัง
การเข้าใจพฤติกรรมลูกค้าหลังสงกรานต์ ไม่ใช่แค่เรื่องของการจับกระแสแต่คือการ “เข้าใจความรู้สึกจริง ๆ” ของพวกเขา แล้วออกแบบแคมเปญที่ ตอบโจทย์ทั้งเหตุผลและความรู้สึกไปพร้อม ๆ กัน และเมื่อแบรนด์สามารถทำได้อย่างแม่นยำ โอกาสในการ Reconnect & Resell ก็จะกลายเป็นเรื่องที่เป็นธรรมชาติที่สุด โดยไม่ต้องเร่งเร้า หรือขายของแบบตรง ๆ เลย
- ตัวอย่างจริง : BMW และการเชื่อมอารมณ์ผ่านแคมเปญ “คืนความสดใสหลังสงกรานต์”
ตัวอย่างที่เห็นภาพชัดของการใช้กลยุทธ์ Reconnect หลังสงกรานต์ได้อย่างชาญฉลาด คือกรณีศึกษาจาก BMW Millennium Auto Phuket ซึ่งไม่เพียงแค่เสนอส่วนลดหรือโปรโมชันธรรมดา แต่กลับใช้ “อารมณ์” และ “จังหวะชีวิต” ของลูกค้าเป็นแกนกลางในการสื่อสารแคมเปญ
หลังช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา BMW มองเห็นว่ารถของลูกค้าหลายคันอาจผ่านการเดินทางไกล เจอฝน เจอแดด หรือแม้แต่คราบสาดน้ำต่าง ๆ ทำให้สภาพรถเสื่อมโทรมลงโดยไม่รู้ตัว ดังนั้น พวกเขาจึงเปิดตัวแคมเปญ “คืนความสดใสหลังสงกรานต์” โดยเน้นไปที่การ “ซ่อมสีและตัวถัง” เพื่อคืนความสมบูรณ์ให้รถยนต์กลับมาดูดีเหมือนใหม่อีกครั้ง แต่สิ่งที่ทำให้แคมเปญนี้โดดเด่น ไม่ใช่แค่บริการซ่อมแซมธรรมดา แต่คือการ “ใส่ใจในความรู้สึก”ของลูกค้าอย่างแท้จริง ผ่านสิทธิพิเศษที่ออกแบบมาอย่างเข้าใจจังหวะชีวิต เช่น
- บริการรถยนต์ทดแทนฟรี 2 วัน จาก SIXT สำหรับลูกค้าที่นำรถเข้าซ่อม เพื่อไม่ทำให้ชีวิตประจำวันของลูกค้าสะดุดในระหว่างที่รถซ่อมอยู่
- คะแนนสะสม MGC-MOBILIFE Point คูณ 2 เท่า สำหรับการใช้บริการช่วงแคมเปญ เพื่อเป็นแรงจูงใจในการกลับมาใช้บริการครั้งถัดไป
แคมเปญนี้สะท้อนแนวคิดแบบ Emotional Reset ได้อย่างชัดเจนเพราะ BMW ไม่ได้สื่อสารแค่เรื่อง “ซ่อมรถ” แต่กำลังบอกลูกค้าว่า “เราช่วยให้คุณและรถของคุณพร้อมสำหรับการเริ่มต้นใหม่อย่างสวยงามอีกครั้ง”
อีกทั้งยังเป็นตัวอย่างของการทำ Quick Win ที่จับจังหวะเวลาได้พอดี เพราะหากปล่อยให้เวลาผ่านไปนาน ลูกค้าอาจค่อย ๆ ชินกับรอยขีดข่วน หรือเลื่อนการซ่อมออกไปเรื่อย ๆ แต่การกระตุ้นทันทีหลังสงกรานต์ ช่วยทำให้การตัดสินใจง่ายและรวดเร็วขึ้นมา และสุดท้ายที่สำคัญที่สุด แคมเปญนี้ไม่ใช่แค่ “ขายบริการ” แต่กำลัง “ขายประสบการณ์” และ “ความรู้สึกดี ๆ” ที่ลูกค้าจะจดจำ BMW ได้มากกว่าแบรนด์อื่น ๆ ที่เพียงแค่ส่งโปรโมชันลดราคาเท่านั้น
10 แคมเปญ Reconnect & Resell หลังสงกรานต์ ปลุกใจลูกค้าให้กลับมา
หลังจากเข้าใจทั้งพฤติกรรมและตัวอย่างแคมเปญที่ประสบความสำเร็จแล้ว ถึงเวลาลงมือจริงด้วยการออกแบบแคมเปญที่เหมาะสมกับจังหวะใจของลูกค้า
Choco Connect Webinar ครั้งนี้ได้แบ่งกลยุทธ์ออกเป็น 3 หมวดหลักที่ตอบโจทย์สถานการณ์หลังสงกรานต์ได้อย่างตรงจุด ได้แก่
- Reconnect Quickly (Fast Touch Campaigns) – รีบทักทายก่อนถูกลืม
- Resell with Emotional Hooks (Heart Campaigns) – เชื่อมอารมณ์แล้วชวนซื้อซ้ำ
- Lock Loyalty for the Long Run (Retention Campaigns) – ล็อกใจให้อยู่ยาว
Reconnect Quickly: สัมผัสเบา ๆ แต่จำได้ไม่ลืม
เมื่อสงกรานต์ผ่านไป สิ่งสำคัญที่สุดคือการ “ทักทาย” ลูกค้าอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ความทรงจำดี ๆ จะจางหายไปในความวุ่นวายของชีวิตประจำวัน
- 1) Thank You & Follow-ups
หลังลูกค้าแวะมาในช่วงเทศกาล การส่งข้อความขอบคุณส่วนตัว เช่น “สวัสดีค่ะ คุณ [FirstName] ขอบคุณที่แวะมาช่วงสงกรานต์ ขอให้ปีนี้เต็มไปด้วยพลังดี ๆ” พร้อมแนบสิทธิพิเศษเล็ก ๆ เช่น ส่วนลด 10% สำหรับการกลับมาใช้บริการภายใน 7 วัน คือการต่อยอดความรู้สึกดีได้อย่างเป็นธรรมชาติ
Key Tip: ต้องใช้ข้อมูลการซื้อจริงมาทำ Personalization เช่น คนซื้อกาแฟ ➝ ส่งโปรกาแฟ คนซื้อขนม ➝ ส่งโปรขนม เพื่อให้รู้สึก “ใส่ใจจริง” ไม่ใช่แค่โปรทั่ว ๆ ไป
- 2) Re-activation Customer with Post-Songkran Specials
สำหรับลูกค้าที่หายหน้าไปช่วงสงกรานต์ การส่งข้อความแนว “คิดถึง” เป็นทางเลือกที่ทรงพลัง เช่น “คิดถึงคุณนะคะ [FirstName] มาลองเมนูใหม่ พร้อมรับส่วนลด 10 บาท เฉพาะเดือนนี้!”
Key Tip: ต้องทำ Segmentation ให้ชัดเจน เลือกเฉพาะคนที่ “ไม่ได้มาใช้บริการ” ในช่วงสงกรานต์ เพื่อให้ข้อความตรงใจและไม่เสียต้นทุนโปรโมชันโดยเปล่าประโยชน์
- 3) VIP-Only Flash Deals for Returning Customers
ลูกค้า VIP คือลูกค้าที่มีมูลค่าสูง การจัด Flash Deal ระยะสั้น เช่น ส่วนลด 15% สำหรับ VIP Member ที่ยังไม่ได้กลับมา คือการแสดงให้เห็นว่าพวกเขา “สำคัญ” กว่าลูกค้าทั่วไป
Key Tip: ห้ามรวมแคมเปญนี้กับลูกค้าทั่วไปเด็ดขาด ต้องสื่อสารแบบ Exclusive จริง ๆ เพราะเนื่องจากลูกค้าคนอื่น ๆ อาจเกิดการไม่พอใจได้ เช่น ระบุชื่อลูกค้า และระดับ Tier ลงไปในข้อความ
Resell with Emotional Hooks: ขายด้วยความรู้สึก ไม่ใช่แค่ตัวเลข
ช่วงเวลาหลังสงกรานต์ยังเต็มไปด้วยอารมณ์ดี ๆ ที่สามารถนำมาต่อยอดเป็นยอดขายได้ ถ้าแบรนด์รู้จักหยิบมันมาใช้ให้ถูกวิธี
- 4) Songkran Memories: UGC Campaigns (Share & Win)
เชิญลูกค้าแชร์ภาพประสบการณ์สงกรานต์ผ่าน Google Review หรือโซเชียล แล้วรับรางวัลเล็ก ๆ เช่น แต้มสะสมหรือคูปองส่วนลด วิธีนี้ไม่เพียงแต่เพิ่มการมองเห็นแบรนด์ แต่ยังสร้าง Engagement ที่เกิดจากใจจริง
Key Tip: ต้องส่งแคมเปญนี้เฉพาะลูกค้าที่มีประสบการณ์จริง เช่น คนที่เคยสั่งเซตสงกรานต์สดชื่น เพื่อให้การสื่อสารดูจริงใจ ไม่ยัดเยียด
- 5) Limited Time Songkran-Themed Sets
การปล่อยเซตเมนูหรือสินค้าเฉพาะธีมสงกรานต์ เช่น “สมูทตี้สงกรานต์สดชื่น ลด 10%” สำหรับลูกค้าที่มียอดใช้จ่ายมากกว่า 100 บาท คือการกระตุ้นยอดซ้ำอย่างชาญฉลาดในขณะที่อารมณ์ยังรู้สึกผูกพันกับแบรนด์อยู่
Key Tip: ใช้ข้อมูล Average Bill หรือพฤติกรรมการใช้จ่ายจริงเพื่อเลือกกลุ่มเป้าหมายให้แม่นยำ
- 6) Birthday + Post-Festival Surprise Coupons
เดือนเมษายนมีลูกค้าจำนวนมากที่เกิดในช่วงนี้ การส่งเซอร์ไพรส์เล็ก ๆ เช่น “ส่งฟรีเมื่อสั่ง 2 เมนูโปรด” ให้กับคนที่เกิดเดือนเมษายนและไม่ได้มาช่วงสงกรานต์ คือการทำให้เขารู้สึกว่าถูกใส่ใจแม้จะพลาดโอกาสพิเศษไป
Key Tip: ต้องระบุช่วงเดือนให้ชัดเจน เพื่อป้องกันความเข้าใจผิดหรือลูกค้าเดือนอื่นน้อยใจ
Lock Loyalty for the Long Run: สร้างสายสัมพันธ์ระยะยาว
ยอดขายครั้งเดียวไม่เคยเพียงพอ สิ่งที่แบรนด์ต้องการจริง ๆ คือ “ความสัมพันธ” ที่ทำให้ลูกค้ากลับมาอีกเรื่อย ๆ ด้วยความเต็มใจ
- 7) Point Multiplier Programs เชิญลูกค้ากลุ่มที่เคยซื้อเมนูเด่น เช่น มัทฉะ เข้ามาอีกครั้ง ด้วยข้อเสนอคะแนนสะสมพิเศษ x2 ในช่วงเวลาเฉพาะ เช่น “ซื้อมัทฉะวันนี้ รับแต้มสองเท่า”เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ซื้อซ้ำอย่างต่อเนื่อง
- 8) Referral Bonuses: Friend Get Friend
กระตุ้นการชวนเพื่อนมาเป็นสมาชิกใหม่ เช่น “ชวนเพื่อนสมัครวันนี้ รับสิทธิ์ซื้อ 1 แถม 1” โดยเลือกกลุ่มลูกค้าที่มีพฤติกรรมสั่ง 2 เมนูอยู่แล้ว เพื่อเพิ่มโอกาสสำเร็จสูงขึ้น - 9) Loyalty Tiers Re-Launch: Special Fast Track
อัปเกรดสมาชิก Standard Member เป็น Silver หรือ Gold เมื่อมียอดสะสมถึงเกณฑ์ เช่น 2,000 บาท ภายในช่วงเวลาที่กำหนด เพื่อทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าการกลับมาซื้อ “มีความหมาย” มากกว่าการได้ของลดราคาเพียงอย่างเดียว
Key Tip: ห้ามอัปเกรดข้าม Tier ผิดกลุ่ม เช่น อัป Silver เป็น Gold โดยไม่ตั้งเกณฑ์ชัดเจน เพราะจะทำให้ลูกค้าเปรียบเทียบและรู้สึกไม่ยุติธรรม
- 10) Survey + Reward: ฟังเสียงลูกค้า รับของขวัญ
เชิญลูกค้าตอบแบบสอบถามสั้น ๆ เกี่ยวกับประสบการณ์ช่วงสงกรานต์ เช่น “เมนูไหนที่คุณชื่นชอบที่สุด?” แล้วมอบรางวัลเล็ก ๆ เช่น คูปองเครื่องดื่ม 50 บาท ตอบแทนความใส่ใจ
Key Tip: ส่งแบบสอบถามไปยังลูกค้าที่เคยใช้บริการจริงช่วงเทศกาลเท่านั้น เพื่อให้ข้อมูล Feedback มีความน่าเชื่อถือและนำไปใช้ปรับปรุงได้จริง
หลังเทศกาลสงกรานต์จบลง หลายธุรกิจมักมองว่าช่วงเวลานี้คือช่วงยอดตก แต่จริง ๆ แล้ว นี่แหละคือโอกาสสำคัญที่แบรนด์ควรใช้ในการดึงลูกค้ากลับมา และสร้างความสัมพันธ์ที่ที่ดีให้แข็งแรงยิ่งกว่าเดิม เพราะลูกค้าที่เคยแวะมาช่วงเทศกาล ไม่ได้มีค่าแค่ยอดขายครั้งเดียว แต่คือ “โอกาสระยะยาว” ที่จะพัฒนาเป็นลูกค้าประจำ หากแบรนด์รู้จักดูแลอย่างตั้งใจ
การทำ Reconnect & Resell ไม่จำเป็นต้องซับซ้อน
มันเริ่มจากสิ่งง่าย ๆ เช่น การส่งข้อความขอบคุณอย่างจริงใจ การชวนลูกค้าแชร์ความทรงจำดี ๆ หรือการเสนอรางวัลเล็ก ๆ เพื่อกระตุ้นให้กลับมาอีกครั้ง
นอกจากนี้ การวาง Loyalty Program ที่เข้าใจลูกค้าจริง ๆ ไม่ใช่แค่สะสมแต้มธรรมดา แต่ทำให้เขารู้สึกว่าได้มากกว่าการซื้อของคือหัวใจสำคัญที่ทำให้ลูกค้าอยากอยู่กับแบรนด์ในระยะยาว เนื่องจากสิ่งที่แบรนด์ต้องโฟกัสคือ “ความรู้สึกของลูกค้า” ไม่ใช่แค่ตัวเลขยอดขายเพราะในที่สุดแล้ว ลูกค้าจะไม่จดจำว่าใครขายของถูกที่สุดแต่เขาจะจดจำว่า “ใครทำให้เขารู้สึกดีได้มากที่สุด” แบรนด์ที่สื่อสารอย่างอบอุ่น จริงใจ และเข้าใจจังหวะชีวิตของลูกค้า จะเป็นผู้ที่ชนะใจและได้ฐานลูกค้าที่แข็งแรงกว่าที่เคยอย่างแน่นอน